วันอังคารที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ภูมิศาสตร์กายภาพประเทศไทย


ใบความรู้ที่  1
เรื่อง  ภูมิศาสตร์กายภาพประเทศไทย
สภาพแวดล้อมทางกายภาพของประเทศไทย

ประเทศไทยตั้งอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และมีที่ตั้งอยู่บริเวณตอนกลางของคาบสมุทรอินโดจีน จากการที่ประเทศไทยมีที่ตั้งเป็นคาบสมุทร จึงได้รับอิทธิพลจากทะเลอันดามันและทะเลจีนใต้ ภายในแผ่นดินมีลักษณะภูมิประเทศแตกต่างกันไปตามภาค เช่น ที่ราบ ภูเขาชายทะเล และจากการมีที่ตั้งในเขตภูมิอากาศแบบร้อนชื้น มีลมมรสุมพัดผ่าน จึงทำให้มีพืชพรรณธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหลากหลายเอื้อต่อการตั้งถิ่นฐานและการดำรงชีวิตของ มนุษย์
ที่ตั้งประเทศไทยตั้งอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งประกอบด้วยประเทศต่างๆ 11ประเทศ คือ ไทย สหภาพพม่า ลาว กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซียบรูไน และติมอร์-เลสเต ซึ่งในทางภูมิศาสตร์ได้แบ่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ออกเป็น 2ภูมิภาคย่อย คือ 1) ภาคพื้นทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกอบด้วยประเทศไทย สหภาพพม่า ลาว กัมพูชา และเวียดนาม 2) หมู่เกาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกอบด้วยประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ บรูไน และติมอร์-เลสเตทั้งนี้ที่ตั้งเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญต่อการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม การเลือกที่ตั้งที่เหมาะสมย่อมส่งผลดีต่อความเจริญก้าวหน้าของประเทศ สำหรับประเทศไทยจัดได้ว่ามีทำเลที่ตั้งเหมาะสมหลายประการที่ส่งผลต่อความเจริญก้าวหน้าของประเทศ ดังนี้
1. ที่ตั้งสัมบูรณ์ ประเทศไทยตั้งอยู่ระหว่างละติจูด 5 องศา 37 ลิปดาเหนือ ถึง 20 องศา27 ลิปดาเหนือ และลองจิจูด 97 องศา 22 ลิปดาตะวันออก ถึง 105 องศา 37 ลิปดาตะวันตก ซึ่งอยู่ระหว่างเส้นทรอปิกออฟแคนเซอร์กับเส้นศูนย์สูตรที่อยู่ในเขตละติจูดต่ำหรือเขตร้อน จึงทำให้มีอุณหภูมิสูงตลอดทั้งปี โดยไม่มีเดือนใดที่อุณหภูมิเฉลี่ยต่ำกว่า 18 องศาเซลเซียส รวมทั้งการมีที่ตั้งในเขตร้อน จึงได้รับอิทธิพลจากลมมรสุม ซึ่งเป็นลมประจำฤดูกาลในเขตนี้ ส่งผลดีต่อการเพาะปลูกของประเทศตลอดมา
2. ที่ตั้งสัมพัทธ์ ประเทศไทยตั้งอยู่บนคาบสมุทรอินโดจีน ล้อมรอบด้วยประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศไทยจึงเป็นศูนย์กลางของประเทศต่างๆ ในภูมิภาคนี้ และจากการที่เป็นศูนย์กลางดังกล่าว ทำให้ประเทศไทยได้ประโยชน์ในการคมนาคม ทั้งทางบกและทางอากาศมากกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเดียวกัน

ขนาดของประเทศไทย
ประเทศไทยมีพื้นที่ 513,115 ตารางกิโลเมตร หรือ 198,113 ตารางไมล์ ถ้าเทียบกับประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้ว ประเทศไทยมีขนาดใหญ่เป็นที่ 3 รองจากประเทศอินโดนีเซียและพม่า

ลักษณะภูมิประเทศ
การแบ่งภูมิภาคทางภูมิศาสตร์นับว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก เพราะทำให้เกิดความเข้าใจภูมิภาคหรือดินแดนนั้นๆ มากขึ้น และหากแบ่งเขตดินแดนให้ละเอียดชัดเจนเท่าไร ก็ยิ่งจะทำให้ทราบ ข้อเท็จจริงของบริเวณนั้นมากขึ้น ซึ่งการแบ่งภูมิภาคทางภูมิศาสตร์ของประเทศไทยได้ใช้หลักเกณฑ์ของคณะกรรมการภูมิศาสตร์แห่งชาติ ที่ยึดหลักเกณฑ์ที่สำคัญในการแบ่งไว้ 3 ประการ ดังนี้
1. หลักเกณฑ์ทางกายภาพ เป็นหลักเกณฑ์สำคัญอันดับแรกสำหรับการพิจารณากำหนดเขตภูมิภาคให้ตรงกับองค์ประกอบทางกายภาพที่มีอยู่ในประเทศไทย คือ แบ่งพื้นแผ่นดินที่มีลักษณะภูมิประเทศ ธรณีวิทยา ธรณีสัณฐานวิทยา ภูมิอากาศ ดิน พืชพรรณธรรมชาติ รวมทั้งระบบการระบายน้ำที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน เป็นต้น
2. หลักเกณฑ์ทางวัฒนธรรม เป็นหลักเกณฑ์สำคัญอันดับที่สองสำหรับการพิจารณากำหนดเขตภูมิภาค ได้แก่ ลักษณะของประชากร ซึ่งหมายถึง การตั้งถิ่นฐาน สิ่งปลูกสร้าง จำนวนประชากร เชื้อชาติ ภาษา วัฒนธรรม สภาพสังคม เศรษฐกิจ ขนบธรรมเนียมประเพณี การดำรงชีวิต ตลอดจนลักษณะอื่นๆ ที่เป็นองค์ประกอบที่ทำให้เห็นความแตกต่างของกลุ่มประชากร ที่จะช่วยในการกำหนดเขตความแตกต่างของกลุ่มประชากร ที่จะช่วยในการกำหนดเขตความแตกต่างนั้นได้
3. หลักเกณฑ์ทางเอกสารวิชาภูมิศาสตร์และหลักฐานอย่างอื่น ซึ่งเป็นผลงานของผู้ที่เคยทำการศึกษาและค้นคว้าไว้แล้ว เช่น แผนที่ของกรมแผนที่ทหาร แผนที่ธรณีวิทยา แผนที่ของกรมอุตุนิยมวิทยา แผนที่ของกรมพัฒนาที่ดิน เป็นต้น เพื่อตรวจสอบข้อมูลประกอบการพิจารณา เช่น แผนที่ภาพถ่ายทางอากาศ ภาพถ่ายจากดาวเทียม รวมทั้งผลการวิจัยต่างๆ ที่นักภูมิศาสตร์เขียนไว้ เป็นต้น รวมทั้งตำราที่เขียนขึ้นโดยนักภูมิศาสตร์ไทยและต่างประเทศ นอกจากนี้ยังได้มีการตรวจสอบข้อมูลด้วยการสำรวจในภูมิประเทศและท้องถิ่นที่คิดว่าจะมีปัญหาเพื่อประกอบการพิจารณาด้วย
ประเทศไทยมีลักษณะภูมิประเทศ ภูมิอากาศ และพืชพรรณธรรมชาติตามลักษณะของภูมิภาคหรือท้องถิ่น สามารถจำแนกลักษณะภูมิประเทศออกเป็น 6 เขต ดังนี้

1. ทิวเขาและหุบเขาภาคเหนือภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นภูเขา หุบเขา และที่ราบระหว่างภูเขา โดยทิวเขาสำคัญในภาคเหนือยาวต่อเนื่องเป็นทิวเขามาจากมณฑลหยุนหนานทางตอนใต้ของจีนและที่ราบสูงฉานในพม่า ซึ่งประกอบด้วยทิวเขาแดนลาว ทิวเขาถนนธงชัย ทิวเขาผีปันน้ำ และทิวเขาหลวงพระบาง ทิวเขาเหล่านี้เป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำสายสำคัญหลายสาย ได้แก่ แม่น้ำปิง แม่น้ำวัง แม่น้ำยม และแม่น้ำน่าน ที่ไหลลงมาทางใต้ แล้วมารวมกันเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ปากน้ำโพ จังหวัดนครสวรรค์ ส่วนแม่น้ำที่ไหลไปทางทิศตะวันตกลงสู่แม่น้ำสาละวิน ได้แก่ แม่น้ำปาย แม่น้ำเมย และแม่น้ำขุนยวม และแม่น้ำที่ไหลไปทางเหนือลงสู่แม่น้ำโขง คือ แม่น้ำอิง แม่น้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำฝาง แม่น้ำรวก และแม่น้ำจัน ซึ่งเป็นแม่น้ำสายสั้นๆ แม่น้ำสายต่างๆ ดังกล่าวข้างต้น เมื่อไหลผ่านมายังหุบเขาและที่ราบ จะนำตะกอนและสารอาหารจากหินและแร่ไปทับถมกันในที่ราบลุ่ม จนเป็นบริเวณที่มีความอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูกและตั้งถิ่นฐาน จึงทำให้บริเวณนี้เป็นแหล่งชุมชนและเป็นศูนย์กลางความเจริญต่างๆ
2. ที่ราบลุ่มน้ำภาคกลางภูมิประเทศส่วนใหญ่โดยทั่วไปเป็นที่ราบกว้างใหญ่ที่เกิดจากแม่น้ำนำตะกอนมาทับถมเป็นเวลานานนับล้านปี จนเป็นที่ราบที่กว้างขวาง บริเวณที่ราบลุ่มน้ำภาคกลางจะมีแม่น้ำสำคัญไหลผ่านหลายสาย เช่น แม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งไหลจากภูเขาสูงทางภาคเหนือลงมา แม่น้ำแม่กลองซึ่งไหลมาจากด้านตะวันตก แม่น้ำป่าสักซึ่งไหลมาจากที่สูงทางด้านตะวันออก เป็นต้น จึงทำให้เขตที่ราบภาคกลางมีดินอุดม-สมบูรณ์ เป็นแหล่งเกษตรกรรมหรือเป็นอู่ข้าวอู่น้ำที่สำคัญของประเทศ และเป็นเขตที่มีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่นที่สุดของประเทศ
3. ที่ราบสูงภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภูมิประเทศของเขตนี้จะแยกจากภาคเหนือและภาคกลางอย่างชัดเจน โดยมีขอบสูงชันตามแนวทิวเขาเพชรบูรณ์ทางด้านตะวันตกและใต้ตามแนวทิวเขาสันกำแพงและพนมดงรัก ตอนกลางลาดต่ำคล้ายกระทะ เป็นแอ่งที่ราบที่แบ่งเป็น 2 แอ่งด้วยทิวเขาภูพาน แอ่งที่ราบตอนบน เรียกว่า แอ่งสกลนคร ส่วนแอ่งที่ราบตอนล่าง เรียกว่า แอ่งโคราช สภาพพื้นที่บริเวณเขตนี้ส่วนใหญ่เป็นดินร่วนปนทราย น้ำซึมผ่านได้ง่าย จึงไม่สามารถเก็บความชุ่มชื้นไว้ได้นาน สภาพพื้นที่จึงแห้งแล้ง ขาดแคลนน้ำในฤดูร้อน แม่น้ำสำคัญที่ไหลผ่าน ได้แก่ แม่น้ำชี แม่น้ำมูล และมีแหล่งน้ำธรรมชาติหลายแห่ง เช่น อ่างเก็บน้ำเขื่อนลำตะคอง อ่างเก็บน้ำเขื่อนลำพระเพลิง เป็นต้น ซึ่งใช้ประโยชน์เพื่อการเกษตรได้ดี มีพื้นที่ป่าไม้น้อยกว่าทุกภาค ส่วนใหญ่เป็นป่าไม้ผลัดใบ ไม่หนาทึบ
4. ทิวเขาภาคตะวันตก ลักษณะภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นภูเขา ทิวเขา และหุบเขาแคบๆ ทิวเขาในภาคนี้เป็นแนวยาวต่อเนื่องมาจากภาคเหนือและบางส่วนเป็นพรมแดนระหว่างประเทศไทยกับพม่า ที่สำคัญ ได้แก่ ทิวเขาถนนธงชัยและทิวเขาตะนาวศรี ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำหลายสาย คือ แม่น้ำเมย ที่ไหลผ่านระหว่างประเทศไทยและพม่า แม่น้ำสำคัญของบริเวณนี้อยู่บริเวณจังหวัดตาก คือ แควใหญ่ (แม่น้ำศรีสวัสดิ์) แควน้อย (แม่น้ำไทรโยค) ซึ่งไหลผ่านหุบเขาแคบๆ มาบรรจบเป็นแม่น้ำแม่กลอง ที่อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี และไหลผ่านจังหวัดราชบุรี แล้วออกทะเลที่จังหวัดสมุทรสงคราม นอกจากนี้ยังมีแม่น้ำเพชรบุรีและแม่น้ำปราณบุรี ที่เป็นแม่น้ำสายสั้นๆ ในเขตจังหวัดเพชรบุรีและประจวบคีรีขันธ์
5. ชายฝั่งภาคตะวันออก ลักษณะภูมิ-ประเทศเป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำทางตอนเหนือ เป็นทิวเขาและที่ราบลอนลาดทางตอนกลางและที่ราบชายฝั่งทะเลทางใต้ มีแม่น้ำสายสั้นๆ ไหลผ่าน ลักษณะของชายฝั่งเว้าแหว่งเต็มไปด้วยเกาะใหญ่น้อย และชายหาดสวยงามที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ
6. คาบสมุทรภาคใต้ ลักษณะภูมิประเทศเป็นคาบสมุทรที่ยื่นลงไปในทะเล โดยมีทิวเขาเป็นแกนกลางของภาค ซึ่งเป็นทิวเขาที่ต่อเนื่องมาจากภาค ตะวันตก คาบสมุทรด้านตะวันออกบริเวณชายฝั่งเกิดจากการยกตัวจึงทำให้มีลักษณะเป็นชายหาด ในขณะที่คาบสมุทรด้านตะวันตกบริเวณชายฝั่งเกิดจากการยุบตัว จึงทำให้มีลักษณะเป็นชายฝั่งเว้าแหว่ง มีเกาะใหญ่น้อยและบางช่วงเป็นหน้าผาสูงชัน
ลักษณะภูมิอากาศ
ลักษณะภูมิอากาศ คือ ลักษณะความร้อน ความหนาว ความชุ่มชื้น ความแห้งแล้งของบริเวณพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง โดยพิจารณาจากอุณหภูมิและปริมาณน้ำฝน ซึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาในรอบหนึ่งปีของบริเวณพื้นที่นั้นๆ ซึ่งลักษณะภูมิอากาศของประเทศไทยสามารถพิจารณาจากอุณหภูมิและปริมาณน้ำฝน ได้ดังนี้
1. อุณหภูมิ ประเทศไทยตั้งอยู่ในบริเวณเขตร้อนของซีกโลกเหนือ ทำให้มีอากาศร้อนและมีอุณหภูมิสูงเกือบตลอดทั้งปี คืออยู่ระหว่าง 25-28 องศาเซลเซียส โดยในช่วงระยะเวลาที่ร้อนน้อยที่สุด (เดือนมกราคม) อุณหภูมิเฉลี่ย 15-18 องศาเซลเซียส และช่วงเวลาที่ร้อนมากที่สุด (เดือนเมษายน) อุณหภูมิเฉลี่ย 33-42 องศาเซลเซียส อุณหภูมิของประเทศไทยแบ่งออกเป็น 2 บริเวณอย่างกว้างๆ ตามลักษณะภูมิอากาศ คือ
1.1 ประเทศไทยตอนบน ได้แก่ ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก อุณหภูมิของอากาศอยู่ในเกณฑ์สูงเกือบตลอดปี เว้นแต่บริเวณที่อยู่ใกล้ทะเล อุณหภูมิในตอนบ่ายจะลดลงบ้าง อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ยในตอนบ่ายอยู่ระหว่าง 33-38 องศาเซลเซียส เดือนเมษายนเป็นเดือนที่ร้อนที่สุดในรอบปี ความแตกต่างของอุณหภูมิระหว่างฤดูร้อนกับฤดูหนาวจะค่อยๆ มีมากขึ้นเมื่ออยู่ห่างทะเลลึกเข้าไปภายในพื้นแผ่นดิน โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียง-เหนือและภาคเหนือ
1.2 ประเทศไทยตอนล่าง ได้แก่ ภาคใต้ อุณหภูมิตลอดทั้งปีจะไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก เนื่องจากรูปร่างของภาคใต้ซึ่งเป็นคาบสมุทรและอยู่ใกล้ทะเล ไม่อาจแบ่งเป็นฤดูร้อนและฤดูหนาวได้อย่างชัดเจน ความแตกต่างของอุณหภูมิประจำวันมีค่าประมาณ 10 องศาเซลเซียส กล่าวคือ อุณหภูมิต่ำสุดในตอนเช้ามีค่าประมาณ 22 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิสูงสุดตอนบ่ายมีค่าประมาณ 32 องศาเซลเซียส การที่ภาคใต้มีอุณหภูมิต่ำกว่าภาคอื่นๆ เนื่องจากได้รับอิทธิพลจากลมทะเล
2. ปริมาณน้ำฝนประเทศไทยมีฝนค่อนข้างมาก ฝนส่วนใหญ่มักเกิดในรูปของฝนตกหนักในระยะเวลาสั้น (ฝนซู่) และมักเกิดในเวลาเย็นหรือเวลาเช้าตรู่ การพิจารณาฝนในประเทศไทยอาจแบ่งออกได้เป็น 2 บริเวณเช่นเดียวกับอุณหภูมิ ดังนี้
2.1 ประเทศไทยตอนบน ได้แก่ ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก ตลอดฤดูหนาว ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงเดือนกุมภาพันธ์ ลมมรสุมตะวันออก-เฉียงเหนือที่นำพาความแห้งแล้งมักปกคลุมประเทศไทย ทำให้มีฝนตกทางตอนบนของประเทศน้อยในฤดูร้อน คือระหว่างเดือนมีนาคมและเมษายน ฝนเริ่มตกบ้างแต่ยังคงมีปริมาณไม่มากนัก ฝนที่ตกส่วนใหญ่เกิดจากอิทธิพลของลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ โดยเริ่มตกตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นไปจนถึงกลางเดือนตุลาคม ในระหว่างนี้มีช่วงฝนน้อยหรือช่วงฝนทิ้งช่วงเกิดขึ้นในระหว่างเดือนมิถุนายนหรือเดือนกรกฎาคม ทั้งนี้เพราะร่องมรสุมได้เคลื่อนขึ้นไปพาดผ่านตอนเหนือของประเทศไทย และฝนจะกลับมาตกหนาแน่นขึ้นอีกในเดือนสิงหาคมและกันยายน ฝนที่ตกในแต่ละภาคของประเทศไทยตอนบนจะมีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยไม่เท่ากัน เขตที่มีฝนตกน้อย ได้แก่ ภาคตะวันตก ภาคกลางตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
2.2 ประเทศไทยตอนล่าง ได้แก่ ภาคใต้ บริเวณนี้เป็นบริเวณที่มีฝนตกตลอดทั้งปี ในฤดูมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือจะมีฝนตกชุก โดยเฉพาะทางชายฝั่งด้านตะวันออกตั้งแต่จังหวัดชุมพรลงไปทางใต้จนถึงจังหวัดนราธิวาส เดือนพฤศจิกายนและธันวาคมมีฝนตกมากกว่าเดือนอื่นๆ ส่วนในฤดูมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นไปจนถึงเดือนตุลาคมจะมีฝนตกมากทางชายฝั่งด้านตะวันตก ฝนที่ตกในภาคใต้จะมีปริมาณค่อนข้างมากในทุกจังหวัด
ฤดูกาล
ประเทศไทยตั้งอยู่ในเขตมรสุมตะวันตกเฉียงใต้และลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้ประเทศไทยมีระดับอุณหภูมิและปริมาณน้ำฝนแตกต่างกันไปในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งสามารถแบ่งฤดูกาลของประเทศไทยออกเป็น 3 ฤดู คือ
1. ฤดูฝนเริ่มตั้งแต่ประมาณกลางเดือนพฤษภาคมจนถึงเดือนตุลาคม เป็นระยะเวลาประมาณ 6 เดือน (ยกเว้นภาคใต้) ในช่วงนี้พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศจะมีฝนตกทั่วไป ท้องฟ้ามีเมฆมาก โดยเฉพาะชายฝั่งทะเลและทิวเขาด้านรับลมจะมีฝนตกมากที่สุด บริเวณเหนืออ่าวไทยขึ้นไปฝนจะตกชุกในเดือนสิงหาคมและกันยายน จากนั้นจะเลื่อนลงสู่ภาคใต้ตอนบนและภาคใต้ตอนล่างตามลำดับ ฤดูฝนในภาคใต้จะมีลักษณะแตกต่างจากภาคอื่นๆ โดยมีฝนเป็นสองช่วงตามระยะของลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้และลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ฤดูฝนของภาคใต้นี้จะมีระยะเวลานานถึง 9 เดือน
2. ฤดูหนาว เริ่มตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายนไปจนถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์ มีระยะเวลาประมาณ 4 เดือน ในระยะนี้ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือได้พัดปกคลุมประเทศไทยทำให้อุณหภูมิลดลง โดยทั่วไปอากาศจะแห้งแล้งและหนาวเย็น โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือเต็มที่ จึงมีอุณหภูมิต่ำกว่าภาคอื่นๆ ภาคกลางจะมีอุณหภูมิลดลงเล็กน้อย ส่วนในภาคใต้อุณหภูมิจะลดลงบ้างเป็นครั้งคราวแต่อากาศไม่เย็นนักและจะมีฝนตกตามชายฝั่งด้านตะวันออกโดยเฉพาะตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานีลงไป
3. ฤดูร้อน เริ่มตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์ไปจนถึงกลางเดือนพฤษภาคม มีระยะเวลาประมาณ 2 เดือน ช่วงฤดูนี้ดวงอาทิตย์มาอยู่ในแนวละติจูดของประเทศไทย ประกอบกับเป็นระยะเวลาที่ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนืออ่อนกำลังลง ทำให้มีอากาศร้อนอบอ้าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเดือนเมษายน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือนับเป็นเขตที่แห้งแล้งที่สุดของประเทศ ส่วนภาคใต้ยังมีฝนตกบ้างจึงไม่มีฤดูแล้งให้เห็นอย่างชัดเจน
ทรัพยากรธรรมชาติ
ทรัพยากรธรรมชาติถือเป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญ ซึ่งประเทศไทยเป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรธรรมชาติ ดังนี้
1. ทรัพยากรดิน ประเทศไทยเป็นประเทศที่ตั้งอยู่ในเขตร้อนชื้น ฝนตกชุก ดินส่วนใหญ่เป็นดินเขตร้อนขาดปุ๋ยอินทรีย์และแร่ธาตุที่เป็นอาหารพืช เนื่องจากการกร่อนและชะล้างของฝน ดินที่อุดมสมบูรณ์มีในบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำ โดยเฉพาะภาคกลาง เช่น ที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นบริเวณที่มีทรัพยากรดินที่อุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูก
2. ทรัพยากรน้ำ ประเทศไทยจัดได้ว่าเป็นประเทศที่มีทรัพยากรน้ำที่อุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่งของโลก เช่น แม่น้ำเจ้าพระยาเป็นเสมือนเส้นเลือดใหญ่ของประเทศที่หล่อเลี้ยงพื้นที่ราบใหญ่ตอนกลางของประเทศ แม่น้ำชีและแม่น้ำมูล แม่น้ำสายสำคัญในภาคตะวันออกเฉียง-เหนือ แม่น้ำแม่กลอง แม่น้ำสายสำคัญที่หล่อเลี้ยงพื้นที่ราบในเขตภาคตะวันตก เป็นต้น นอกจากแม่น้ำสายสำคัญดังกล่าวแล้ว ประเทศไทยยังมีแหล่งน้ำจืดขนาดใหญ่ที่เก็บกักน้ำไว้ใช้ได้ในช่วงหน้าแล้ง ได้แก่ หนองหานสกลนคร จังหวัดสกลนคร หนองหานกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี บึงบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์ และกว๊านพะเยา จังหวัดพะเยา
3. ทรัพยากรป่าไม้ ประเทศไทยมีอากาศร้อนและปริมาณฝนมาก ต้นไม้ที่ขึ้นส่วนใหญ่เป็นไม้เนื้อแข็งและใบกว้าง สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
3.1 ป่าไม้ไม่ผลัดใบ หมายถึง ป่าที่มีสีเขียวชอุ่มตลอดปี ได้แก่ ป่าดิบ ป่าสนเขา และป่าชายเลน
3.2 ป่าไม้ผลัดใบ เป็นป่าโปร่ง ขึ้นได้ทุกภาค ยกเว้นภาคใต้ ได้แก่ ป่าเบญจพรรณและป่าแดงหรือป่าโคก
4. ทรัพยากรแร่ ที่สำคัญที่มีอยู่ในประเทศไทย ได้แก่
4.1 แร่โลหะ เช่น ดีบุก เหล็ก วุลแฟรม สังกะสี ตะกั่ว ทองแดง เป็นต้น
4.2 แร่อโลหะ เช่น ฟลูออไรต์ ยิปซัม หินเกลือ หินปูน หินอ่อน ทรายแก้ว เป็นต้น
4.3 แร่เชื้อเพลิง เช่น น้ำมัน ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ เป็นต้น
4.4 แร่รัตนชาติ เช่น เพชร ทับทิม มรกต บุษราคัม เป็นต้น



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น